Krejcie, R.V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement. 30(3).

กลุ่มที่ 3
งานวิจัย เรื่อง การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยีการบริหารการศึกษา
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผู้วิจัย ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ
ปีการศึกษา 2555
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ในสภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมประเทศไทยเป็นยุค
ที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ
ที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรม ของชาติตะวันตก ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม
ซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า
และ เป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน การบริหารสถานศึกษา
เป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและ ขั้นตอนต่างๆ
ในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบ เพราะถ้าระบบการบริหารงานไม่ดีจะ
กระทบกระเทือนต่อส่วนอื่นๆ ของหน่วยงาน
นักบริหารที่ดีต้องรู้จักเลือกวิธีการบริหารที่เหมาะสม
และมีประสิทธิภาพ
เพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้ การบริหารงานนั้น จะต้องใช้ศาสตร์ และศิลป์ทุกประการ เพราะว่าการดำเนินงานต่างๆ
มิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำเพียงลำพัง คนเดียว
แต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่มีส่วนทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ
การบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้านให้มีคุณภาพสอดคล้องกับประสิทธิผลของโรงเรียนและ
ความต้องการของบุคคลและสังคมนั้น
มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ของประเทศ
โดยผู้บริหารสถานศึกษามีอำนาจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน มีหน้าที่และ
รับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบุคคล และงานทั่วไป โดย
เป็นไปตามความต้องการของนกัเรียนและชุมชน
ซึ่งการที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะสร้างความพึงพอใจ
ให้แก่ทุกคนในสถานศึกษานั้นมิใช่ของง่าย
เพราะไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากจากบุคคล ภายในสถานศึกษาเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับบุคคลภายนอกสถานศึกษาด้วย
ปัจจุบันสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้ดำเนินการเร่งรัดปฏิรูปการศึกษาโดยการพัฒนาคุณภาพและ
มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จึงกำหนดทิศทางขับเคลื่อนการจดัการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในการ
พัฒนาคุณภาพการศึกษาและจัดระบบนิเทศ กำกับติดตาม ดูแลภารกิจหลักของโรงเรียน 4 ด้าน
คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล
และด้านการ บริหารทั่วไป
ด้วยการยกระดับให้มีมาตรฐานโดยเฉพาะผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าว
ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูผู้สอนของ โรงเรียน ในอำ เภอคลองหลวง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 จึงมีความสนใจที่จะศึกษาการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
ซึ่งผลการวิจัยจะน าไปใช้เพื่อเป็น
ประโยชน์และเป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารโรงเรียนให้บริหารงานด้านต่างๆ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลมากที่สุด สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริหารและ
ครูผู้สอน
เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายและประสบความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษาต่อไป
วัตถุประสงค์การวิจัย
1.
เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1
2. เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
3.
เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของ โรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.
เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาในการนำ ไปใช้ใน
การวางแผนการจัดทำหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของสถานศึกษา
ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
2. เป็นแนวทางให้สถานศึกษา
ประชาชน ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ไดน้า รูปแบบไปพิจารณาปรับปรุง
บทบาท หน้าที่ในการบริหารสถานศึกษา
ให้มีความชัดเจนและมีความเหมาะสม
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
ขอบข่ายงานบริหารสถานศึกษา
4 ด้าน ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่
2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบบัที่ 3) พ.ศ. 2553
คือ 1) ด้านการบริหารวิชาการ 2)
ด้านการบริหารงบประมาณ 3) ด้านนการบริหารงานบุคคล และ4) ด้านการบริหารทั่วไป
(สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี, 2553: 14) ประสิทธิผลของโรงเรียน ได้ศึกษาตามกรอบแนวคิดของ ฮอยและเฟอร์กูสัน แบ่งเป็น
5องค์ประกอบ คือ
1) ความใฝ่รู้ รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของ นักเรียน
2) ความพึงพอใจในการทำ งานของครู
3) ความสามารถในการใช้สื่อ นวัตกรรมและ เทคโนโลยขีองครู
4) ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
5) ความสามารถ
ในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก
ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ได้แก่ ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ในปีการศึกษา 2554 จา นวน 34
โรงเรียน รวมจำนวน 494 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1)
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้
ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำรวจของ
เครจซี่และมอร์ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
1) การบริหารสถานศึกษา
ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ
ก) ด้านการบริหารวิชาการ
ข) ด้านการบริหารงบประมาณ
ค) ด้านการบริหารงานบุคคล
ง) ด้านการบริหารทั่วไป
2)
ประสิทธิผลของโรงเรียน มี 5
องค์ประกอบ คือ
ก) ความใฝ่รู้ รักการอ่าน
แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
ข) ความพึงพอใจในการทา งานของครู
ค) ความสามารถในการใช้สื่อ
นวตักรรมและเทคโนโลยีของครู
ง) ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
จ)
ความสามารถในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายใน และภายนอก
นิยามศัพท์เฉาะ
1) การบริหารสถานศึกษา หมายถึง
กระบวนการในการทำงาน โดยมีผู้บริหารสถานศึกษา
ปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นระบบในสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการ
4 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ
ด้านการบริหารงบประมาณ
ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป
1.1) การบริหารวิชาการ หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการจัดหลักสูตรสถานศึกษาให้สนองต่อความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่น โดยการมีส่วนร่วมในการวางแผน ให้คำปรึกษา
มีการส่งเสริมสนับสนุน
และเสนอแนวทางให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
1.2) การบริหารงบประมาณ หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการศึกษา
วิเคราะห์การจัดและการพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา มีการวางแผนกลยุทธ์ การจัดทำข้อมูลทรัพยากร
จัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์
และจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา
1.3) การบริหารงานบุคคล
หมายถึง
ภารกิจงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ วางแผนและเสนอแนะ การแต่งตั้งบุคลากรในสถานศึกษา ให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ ตามมาตรฐานวิชาชีพ มีเกณฑ์การประเมินผลงาน
1.4)
การบริหารงานทั่วไป หมายถึง ภารกิจงานเกี่ยวกับการวางแผน และออกแบบระบบงานธุรการ จัดระบบฐานข้อมูล และระบบข้อมูลข่าวสารของสถานศึกษา
2)
ประสิทธิผลของโรงเรียน
หมายถึง
ความสามารถของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนที่
ทำงานร่วมกันจนสามารถทำให้นักเรียนมีความใฝ่รู้
รักการอ่าน
รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
รวมทั้งด้านการบริหารและการเรียนการสอนจนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่โรงเรียนกำหนดไว้
สมมติฐานการวิจัย
1)
การบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก
2) ประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
อยู่ในระดับมาก
3)
การบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
ความหมายของการบริหารสถานศึกษา
บุญจันทร์ จันทร์เจียม (2548: 13) ได้ให้ความเห็นว่า
การบริหารสถานศึกษา หมายถึง
การปฏิบัติภารกิจของผู้บริหารสถานศึกษาอย่างเป็นระบบในด้านการบริหารวิชาการ
การบริหาร งบประมาณ การบริหารงานบุคคล
และการบริหารทั่วไปให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่สถานศึกษาได้กำหนดไว้
นิคม แก้วสา (2548: 13) ให้ความหมายว่า การบริหารสถานศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ คือ
การบริหารสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
จะยึดเป้าหมาย คือ
คุณภาพการศึกษาของนักเรียนโดยมีงานวิชาการเป็นหลัก งานวิชาการเป็นงานที่สำคัญที่สุดในการที่จะทำให้นักเรียนบรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
ส่วนงานอื่นเป็นงานสนับสนุนและเป็นงานเสริมให้งานวิชาการประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการ (2550:
30 - 32) ได้กำหนดว่า
การบริหารจัดการของสถานศึกษาซึ่งมีหน้าที่ให้บริการการศึกษาแก่ประชาชนและเป็นสถานศึกษาของรัฐจึงนำหลักการว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ซึ่งที่เรียกทั่วไปว่า ธรรมาภิบาล
มาบูรณาการในการบริหารและจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับโรงเรียนที่เป็นนิติบุคคล หลักการดังกล่าว ได้แก่
1) หลักนิติธรรม
2) หลักคุณธรรม
3) หลักความโปร่งใส
4) หลักการมีส่วนร่วม
5) หลักความรับผิดชอบ
6) หลักความคุ้มค่า
แคมป์เบลล์
และคนอื่นๆได้ทำการศึกษาถึงงานบริหารสถานศึกษาไว้และมีความเห็นว่า งานการบริหารสถานศึกษา
มีงานสำคัญ ๆ อยู่ 6 ประการ คือ
1)
งานด้านหลกัสูตรและการสอน
2) งานบริหารบุคลากร
3) งานกิจกรรมนักเรียน
4) งานอาคารสถานที่
5) งานงบประมาณและธุรการ
6) งานสัมพันธ์ชุมชน
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิผลของโรงเรียน
ความหมายของประสิทธิผลของโรงเรียน
ประสิทธิผล (Effectiveness) เป็นเครื่องมือหรือตัวบ่งชี้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารว่า
การบริหารองค์การหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งสามารถดำเนินการจนบรรลุเป้าหมายและ
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้มากน้อยเพียงใดนั้น
ประสิทธิผลจึงมีความหมายแตกต่างกัน
ตามความเข้าใจ ของนักวิชาการ หรือผู้บริหารของแต่ละสถานศึกษา ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์การและความสำเร็จของงาน
ซึ่งมีผู้ให้ความหมายของประสิทธิผลของโรงเรียนไว้ ดังนี้
วินัย คำประดิษฐ์ (2547: 23) ให้ความเห็นว่า ประสิทธิผลของสถานศึกษา หมายถึง
ความสามารถของสถานศึกษาในการปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่วางไว้โดยสามารถ
ปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมในการวางตนในการทำงาน และ
บรรยากาศที่เอื้อต่อการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้
เบนนิส (Bennis,
1971 cited in Dessler, 1986: 68-69) ได้กล่าวถึง
ประสิทธิผลขององค์การว่าเป็นความสามารถในการปรับตัว
เปลี่ยนแปลงพัฒนาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และความสามารถในการผสมผสานสัมพันธ์ของสมาชิกในองค์การ เพื่อรวมพลังให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปฏิบัติภารกิจในองค์การ ดังนี้
1) ความสามารถในการปรับปรุงองค์การ ได้แก่
ความสามารถในการปรับตัวนวัตกรรม
ความเจริญเติบโต และการพัฒนา
2) ความสามารถในการบูรณาการ
(Integration) ได้แก่ ความพอใจ บรรยากาศความขัดแย้ง
การสื่อความหมาย
มอทท์ (Mott, 1972 อ้างถึงใน
Hoy and Miskel, 2001: 305–306) ได้เสนอแนวคิดในการประเมินประสิทธิผลองค์การโดยพิจารณาจาก
1) ความสามารถผลิตนักเรียนใหม่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง
2) ความสามารถในการพัฒนานักเรียนใหม่ทัศนคติทางบวก
3) ความสามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาสถานศึกษา
4) ความสามารถในการแก้ปัญหาภายในสถานศึกษา
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ ครูผู้สอนระดับประถมศึกษา ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 ปีการศึกษา 2554 จำ นวน 34 โรงเรียน
จำนวนครูผู้สอน 494 คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จของเครจซี่และ
มอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
เครื่องมือการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม
(Questionnaire) ที่ผู้วิจัยปรับปรุงขึ้น
โดยพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรม และ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งให้สอดคล้องกับคำจำกัดความในการวิจัยที่ได้กำหนดไว้แบ่งเป็น
3 ตอน ประกอบด้วย
ตอนที่ 1 เป็นแบบสำรวจรายการ
(Checklist) สอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม ประกอบด้วย
เพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา เป็นแบบสอบถามแบบ มาตรวัดประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับตามแบบลิเคอร์ท
ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอคลองหลวง สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 เป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัดประเมิน
การดำเนินการวิจัย
1)
ประสานงานกับสำนักงานบัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อทำหนังสือขอความอนุเคราะห์เก็บข้อมูลการวิจัยถึงผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษา
2)
จัดส่งแบบสอบถามพร้อมทั้งหนังสือขอความอนุเคราะห์
ไปยังสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตอำเภอคลองหลวง
เพื่อขออนุญาตในการเก็บรวบรวมข้อมูล
และกำหนดวัน เวลา ขอรับแบบสอบถามคืน ภายใน 15 วัน
3)
เก็บรวบรวมและติดตามแบบสอบถามที่ยังไม่ได้รับคืน
และแจกแบบสอบถามด้วยตนเองอีกครั้งในรายที่แบบสอบถามสูญหายหรือไม่สมบูรณ์
โดยขยายเวลาอีก 5 วัน
4) นำ แบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์
การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ขอ้มูลโดยใช้
โปรแกรมสำเร็จรูปด้วยคอมพิวเตอร์ นา มาใช้ในการ
วิเคราะห์ขอ้มูลในการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้
1) นำแบบสอบถามตอนที่ 1
เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามนำมาแจงความถี่ (Frequency)
แล้วคำนวณหาค่าร้อยละ
(Percentage) และนำเสนอในรูปแบบตารางประกอบความเรียง
2) นำแบบสอบถามตอนที่ 2
เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา ที่ตรวจให้ คะแนนตามเกณฑ์น้ำหนัก 5
ระดับจากนั้นน าไปบันทึก
แล้ววิเคราะห์หาค่าคะแนนเฉลี่ย (X ) และ
ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) นำผลการวิเคราะห์ที่ได้ มาแปลความหมายจำแนกเป็นในภาพรวม และจำแนก แยกเป็นแต่ละรายด้าน
3) นำแบบสอบถามตอนที่ 3
เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ที่ตรวจให้ คะแนนตามเกณฑ์น้ำหนัก 5
ระดับ จากนั้นนำไปบันทึก
แล้ววิเคราะห์หาค่าคะแนนเฉลี่ย และ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานมาแปลความหมาย
และจำแนกเป็นรายด้าน
4) นำแบบสอบถามตอนที่ 2 และตอนที่ 3 นำมาเข้าโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อคำนวณและ
วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ ( r ) ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน
ในอำเภอ คลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต
1โดยใช้การทดสอบด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
แบบเพียร์สันในภาพรวมและแยกเป็นรายด้าน และนำเสนอในรูปแบบตารางประกอบความเรียง
สรุปผลการวิจัย
1) ผู้ตอบแบบสอบถาม
ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ51 ปีขึ้นไป มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี
ตำแหน่งหน้าที่เป็นครู คศ. 2 และมีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 15 ปี
2) การบริหารสถานศึกษา
ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาปทุมธานี เขต 1
โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด คือ
ด้านการบริหารวิชาการ และด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อยที่สุด ได้แก่
ด้านการบริหาร งบประมาณ
3) ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีการปฏิบัติในระดับมากที่สุด ได้แก่
ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และด้านที่มีระดับการ
ปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ความใฝ่รู้ รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
4)
ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอ คลองหลวง
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 พบว่าโดยภาพรวม มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.01 มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง โดยคู่ที่มี ความสัมพันธ์กันสูงสุด ได้แก่ ด้านการบริหารงานบุคคลกับความพึงพอใจในการทำ
งานของครู และ ด้านความสามารถในการใช้สื่อ นวตักรรมและเทคโนโลยีของครู
และคู่ที่มีความสัมพันธ์กันต่ำสุด ได้แก่ ด้านการบริหารงบประมาณกับด้านความใฝ่รู้
รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของ นักเรียน
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1)
ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับขอบข่ายของการบริหารสถานศึกษา ทั้ง 4 ด้าน
โดยการศึกษาแบบเชิงลึกในแต่ละด้าน
2) ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีความสัมพันธ์กับ
ประสิทธิผลของโรงเรียน ในระดับเขตพื้นการศึกษา
3) ขอบเขตของประสิทธิผลของโรงเรียน
ที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ กว้างขวางยิ่งขึ้น
4) ควรมีการศึกษาวิจัยถึงปัจจัยอื่นๆ
ที่มีอิทธิพลต่อการบริหารสถานศึกษาและ ประสิทธิผลของโรงเรียน
เพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาใช้เป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาให้มี
ประสิทธิภาพต่อไป
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา
ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดของการบริหารโรงเรียน
เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานของผู้บริหารบรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนด คือ การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียน
ซึ่งการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา
เพื่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จและสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษานั้น ปัจจัยสำคัญต่อการเสริมสร้างการเรียนรู้ใน
โรงเรียน คือ ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
และการมีส่วนร่วมวามร่วมมือในการปฏิบัติงาน ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ดังนั้น
ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้นำหลัก ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือ
เป็นผู้นำทางการศึกษา มีความรับผิดชอบในการบริหารงานด้านต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนดไว้
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ.2550.พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ(ฉบับที่3) พ.ศ.2553 พร้อมกฎหมายที่เกี่ยวข้องและ พระราชบัญญัติการศึกษา ภาคบังคับ
พ.ศ.2545. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้า พัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.).
กรุณา บุญแก้ว. 2552.
ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานวิชาการกับประสิทธิผลของโรงเรียน ขยาย โอกาสทางการศึกษา อำเภอวังสมบูรณ์ ส
านักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้ว เขต 1.วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยบูรพา.
กลุ่มนโยบายและแผน.2554.แผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ 2554 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: http://www.ptt1.obec.go.th/index 2 [สืบค้นเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2554]
ขวัญใจ
เกตุอุดม.2554.การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิผลของโรงเรียน
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี.วิทยานิพนธ์ปริญญา มหา บัณฑิต.
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์.
จันจิรา อมรสถิตย์ 2548. การบริหารงบประมาณของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กลุ่มที่ 4
งานวิจัย เรื่อง : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21
ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
การศึกษาระดับ : ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ผู้วิจัย : ศศิตา เพลินจิต
ปีการศึกษา : 2558
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่1 : ปัญหาสำหรับผู้บริหารที่ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุค
ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ประเด็นที่2 : ผู้บริหารขาดทักษะที่จาเป็นสาหรับการบริหารในองค์กรและ
หน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา
ประเด็นที่3 : ผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่
จะต้องมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21เพื่อหน่วยงานให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
ประเด็นที่4 : การพัฒนาทักษะของผู้บริหารในศตวรรษที่
21 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะของผู้บริหาร
ประเด็นที่5 : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่
21 ของผู้บริหารสถานศึกษา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เพื่อศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่
21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
- เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่21
ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อวางแผนการพัฒนา ผู้บริหารสถานศึกษา
2. ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบถึงทักษะในศตวรรษที่ 21
ของผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถ นำมาใช้กำหนดนโยบาย
แนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาต่อไป
3. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฐมศึกษานครปฐม เขต 1-2
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 9 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครปฐมนาทักษะการบริหารของผู้บริหาร
สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาต่อไป
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรต้น
คือ ขนาดของสถานศึกษา ประกอบด้วย
3.1.1 สถานศึกษาขนาดเล็ก
3.1.2 สถานศึกษาขนาดกลาง
3.1.3 สถานศึกษาขนาดใหญ่
ตัวแปรตาม
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประกอบด้วย
3.2.1 ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
3.2.2 การริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
3.2.3 ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
3.2.4 การเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้
3.2.5 ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ
นิยามศัพท์เฉพาะ
ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้ที่มีความสำคัญในการดำเนินงานทำหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแล
บริหารและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ร่วมงานเพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจของสถานศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21
• ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว
• ด้านการริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
• ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
• การเป็นผู้สร้างหรือผลิตรับผิดชอบเชื่อถือได้
• ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ
ทักษะการบริหาร
ความรู้ความชำนาญความสามารถในการดำเนินกิจกรรม บริหารเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องรวดเร็ว
ทักษะการบริหารของผู้บริหาร
ทักษะที่ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องมี
การบริหารที่ใช้ศาสตร์และศิลปะทุกประการ หน้าที่ของผู้บริหารที่จะนำเอาเทคนิควิธี
และกระบวนการบริหารที่ เหมาะสม มาใช้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา
ครูในสถานศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่สอนในสถานศึกษา
สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สถานศึกษาที่จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลหรือปฐมวัย
ถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (ขยายโอกาส)
ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
ขนาดของสถานศึกษา
จำนวนนักเรียนที่เป็นตัวกำหนดขนาดของสถานศึกษา
ตามเกณฑ์การแบ่งขนาดของสถานศึกษาของสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม
เขต 1 จำแนก
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
หน่วยงานที่ รับผิดชอบในการจัดการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตอำเภอเมือง
อำเภอกำแพงแสน อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สมมุติฐานการวิจัย
ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
ที่มีขนาดสถานศึกษาต่างกันมีความแตกต่างกัน
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
การ์ดเนอร์ (Gardner) เป็นปรมาจารย์ด้านการสอนการคิดแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้างแล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน
แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป พหุปัญญา ตามแนวคิดของการ์ดเนอร์
ในปัจจุบันมีปัญญาอยู่อย่างน้อย 8 ด้าน ดังนี้
- ปัญญาด้านภาษา
(Linguistic Intelligence)
- ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์
(Logical-Mathematical Intelligence)
- ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์
(Visual-Spatial Intelligence)
- ปัญญาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
(Bodily Kinesthetic Intelligence)
- ปัญญาด้านดนตรี
(Musical Intelligence)
- ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์
(Interpersonal Intelligence)
- ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง
(Intrapersonal Intelligence)
- ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา
(Naturalist Intelligence
ทฤษฎีสามทักษะ แคทซ์ (
Katz, 2005)
ทักษะด้านเทคนิค (technical skill)
- ทักษะด้านการวางแผน
(planning skill)
- ทักษะด้านกระบวนการกลุ่ม
(group process and communication skill)
- ทักษะด้านการจัดการและการจัดองค์การ(management
and organizationskill)
ทักษะด้านมนุษย์ (human skill)
เป็นความสามารถของผู้บริหารในการ ปฏิบัติงาน และใช้ดุลยพินิจเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับบุคคลอื่นและการเรียนรู้จักใช้คน
ทักษะด้านนี้ ประกอบด้วย
• ความเข้าใจถึงการสร้างแรงจูงใจคน
• มีศิลปะฝึกตนเป็นผู้นำที่ดี
• เข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล
ทักษะด้านมโนภาพ (conceptual skill)
ความสามรถของผู้บริหารในการเข้าใจหน่วยงานในทุกลักษณะ
มองเห็นความสัมพันธ์ ในส่วนต่าง ๆ ในองค์กรทั้งหมด มีความคิดที่ กว้างไกล
ครอบคลุมและเชื่อมโยงกับองค์การอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านการเมือง สังคม และ เศรษฐกิจ
ทั้งในระดับจุลภาคและ มหภาค
ทฤษฎีการบริหารหรือการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์
บาร์นาร์ด (Barnard, 2004)
บาร์นาร์ด (Barnard,
2004) กล่าวว่า
การบริหารเป็นกระบวนการทางสังคมที่สามารถ มองเห็นได้ 3 ทาง
ทางโครงสร้าง เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาตามลาดับขั้นตอนตามสาย
การบังคับบัญชา
ทางหน้าที่ เป็นขั้นตอนของหน่วยงานที่ระบุหน้าที่บทบาท
ความรับผิดชอบและส่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย
ทางปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่บุคคลและ บุคคลต้องการร่วมทาปฏิกิริยาซึ่งกันและกัน
ทฤษฏีการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
Frederick W. Taylor
เทย์เลอร์ ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการตามหลักวิทยาศาสตร์
ปรัชญาการบริหารของเทย์เลอร์ได้แก่
- ทำการศึกษางานแต่ละส่วนด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการทำงานแต่ละอย่าง
- ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการคัดเลือกและการฝึกอบรมพนักงานและมอบหมายให้ทำงานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน
- มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
- แบ่งงานและความรับผิดชอบในงานเป็นส่วนต่าง
ๆ
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557
จากสถานศึกษาทั้งหมด 125 แห่ง จำแนก เป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก 52 แห่ง จำนวนประชากร
294 คน สถานศึกษาขนาดกลาง 65 แห่ง จำนวนประชากร907 คน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ 8แห่ง จำนวนประชากร439
คนรวม ประชากรทั้งหมด 1,640 คน
กลุ่มตัวอย่าง
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557
ซึ่งการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดย ใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน (Krejc
& Morgan, 1970, pp. 607-610) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95
โดยการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่ายแบบเป็นสัดส่วน ตามขนาดของสถานศึกษา
ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามทักษะผู้บริหารของสถานศึกษา
มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ของลิเคอร์ท (Likert)
เกี่ยวกับทักษะของผู้บริหาร
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดย
3.1 นำหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีถึงผู้บริหารสถานศึกษา
เพื่อให้ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูล
3.2 ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามไปยังโรงเรียน
เพื่อแจกให้กับครูในโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 ชุด โดยกำหนดเวลาในการตอบแบบสอบถามและกลับคืนให้ผู้วิจัยภายใน
7-15 วัน ทางไปรษณีย์และผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเอง
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล
ดังต่อไปนี้
- นำแบบสอบถามที่ได้รับตอบคืนจากโรงเรียนที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างมาตรวจสอบความถูกต้องและมีความสมบูรณ์ในการตอบ
- นำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามทั้งหมดมาจัดระเบียบข้อมูล
ลงรหัส และทำการวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ
- วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม
วิเคราะห์โดยแจกแจงความถี่ และหาค่าร้อยละ
- วิเคราะห์ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21
ของผู้บริหารสถานศึกษา มาวิเคราะห์ข้อมูลระดับปฏิบัติโดยนำมาหาค่าเฉลี่ย
และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จำแนกเป็นรายข้อ รายด้านและรวมทุกด้าน
- การเปรียบเทียบทักษะผู้บริหารของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย x และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว
กรณีที่พบว่ามี ความแตกต่างค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ดังนั้นจึงทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วย วิธีการของเซฟเฟ่ (Scheffe)
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยโดยใช้สถิติในการศึกษา ดังนี้
สถิติพื้นฐาน
ค่าร้อยละ
ค่าเฉลี่ย
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา โดยคำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง
ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ
โดยคำนวณค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบัค
สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ
สรุปผลการวิจัย
- ทักษะการบริหารในศตวรรษที่
21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม
เขต 1 ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า
มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย คือ
• ด้านภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ
• ด้านทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
• ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว
• ด้านการเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้
• ด้านการริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
- การเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่
21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาในภาพรวมและรายด้านไม่มีความแตกต่างกัน
ข้อเสนอแนะ
- ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการกระตุ้นและส่งเสริมให้บุคลากรแสดงความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และกล้าแสดงออกในการบริหารสถานศึกษา
- ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้คำแนะนำแก่บุคลากรในสถานศึกษาในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างเหมาะสม
- ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมและให้โอกาสผู้ร่วมงานเพื่อให้ครูมีบทบาทเป็นผู้นำ เกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
- ได้รับความรู้เรื่องทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21
และได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาในศตวรรษที่21เพิ่มมากขึ้น
- ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ศึกษา
ค้นคว้า
และแก้ปัญหาจากการทำงานเพื่อแสดงศักยภาพที่มีอยู่ให้เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทำวิจัย
- ได้ฝึกทักษะกระบวนการทำงาน การแก้ไขปัญหา
มีความรับผิดชอบและได้ฝึกการวางแผนการทำงานเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปปรับใช้ในการศึกษาต่อไป
กลุ่มที่ 5
งานวิจัย
เรื่องรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาวิทยาลัยศิลปากร
การศึกษาระดับ ปริญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
มหาวิทยาลัย ศิลปากร
ผู้วิจัยนางนาริสานันท์
เดชสุระ
ปีการศึกษา 2552
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 การจัดการศึกษาภาคบังคับเป็นการจัดการศึกษาที่เริ่มตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ไม่ได้คลอบคลุมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย
เป็นเพียงการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่นักการศึกษาและนักจิตวิทยามีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันว่าเด็กวัยแรกเกิดจนถึง
6 ปีเป็นวัยที่สำคัญต่อการวางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาศักยภาพทางสมอง
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมพัฒนาเด็กในทุกๆด้าน
ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ -จิตใจ สังคมและสติปัญญา
เป็นการส่งเสริมความพร้อมในการที่จะเรียนรู้ในระดับต่อไป ซึ่ง สถานศึกษาแต่ละแห่งมีรูปแบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันแต่มีจุดร่วมเดียวกันเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กให้มีคุณภาพเพื่อส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศด้วย
ประเด็นที่ 2 การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยนับว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก
เนื่องจากเป็นการวางรากฐานคุณภาพชีวิต
การศึกษาให้แก่เยาวชนซึ่งโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏมีบทบาทในการดำเนินงานด้านการศึกษาปฐมวัย
การดำเนินงานและการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
กล่าวคือต้องมีการบริหารงานที่มีรูปแบบหรือลักษณะชัดเจนถูกต้องเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ประเด็นที่ 3 สาธิตปฐมวัยเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยคือการจัดการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่มีอายุระหว่าง
2 ปีครึ่ง - 5 ปี 11 เดือน
โดยมีปรัชญาในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยเต็มศักยภาพสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย
ด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญา
และเป็นไปโดยธรรมชาติภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ
ภารกิจของการดำเนินงานโรงเรียนสาธิตปฐมวัย
1. พัฒนาเด็กปฐมวัยให้เต็มตามศักยภาพ
ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ
2.
เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้แก่นักศึกษาโปรแกรมวิชาการศึกษาปฐมวัย
3. เป็นแหล่งการบริหารวิชาการ
ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาข้อมูลวิชาการทางด้านการศึกษาปฐมวัย
โรงเรียนสาธิตมีภารกิจที่รับผิดชอบเช่นเดียวกันกับโรงเรียนอื่นๆ ได้แก่ งานวิชาการ
งานบุคลากร งานกิจการนักเรียน
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยตัวแปรพื้นฐานและตัวแปรที่ศึกษาซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.
ตัวแปรพื้นฐาน เป็นตัวแปลที่เกี่ยวกับสถานภาพส่วนตัวของผู้ให้ข้อมูลได้แก่
เพศอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน
และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน
2.
ตัวแปรที่ศึกษา เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงเรียนจากการสรุปผลการวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีจำนวน
104 ตัวแปร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศจำนวน 62 ตัวแปร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยจำนวน
86 ตัวแปร
และสรุปผลจากการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 84
ตัวแปร สรุปตัวแปลทั้งหมดที่ได้หลังจากการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ได้จำนวน140 ตัวเเปร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
จากสภาพความเป็นมาและปัญหาของการวิจัยดังที่ได้กล่าวข้างต้นผู้วิจัยกำหนดจุดประสงค์ของการวิจัยและกัน
1. เพื่อทราบองค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
2. เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ผลของการวิจัยจะมีคุณค่าต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย
และมีแนวทางการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพมีระบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีมาตรฐาน
เป็นไปตามแนวทางภารกิจของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ
และเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการต่อไป
นิยามศัพท์เฉพาะ
โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
หมายถึง
หน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา หรือระดับปฐมวัย
จัดการศึกษาสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปี 8 เดือน ถึง 6 ปี จำนวน 24 แห่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้มหาวิทยาลัยราชภัฏสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมายถึง
โครงสร้างความสัมพันธ์ขององค์ประกอบการบริหารของโรงเรียนสาธิตปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการในการจัดโครงสร้างองค์กร
การกำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงานตามภารกิจของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
สมมุติฐานการวิจัย
เพื่อให้เป็นแนวชนิดใดและเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในการวิจัยไว้ดังนี้
1.
องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎเป็นพหุองค์ประกอบ
2.
รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎมีความสอดคล้องกับกรอบแนวคิดทฤษฎีของการวิจัย
แนวคิดทฤษฏีทางการบริหาร
บานาด(Chester
I. Barnard) บิดาของการบริหาร กล่าวว่าการบริหาร หมายถึง
การดำเนินงานขององค์กรซึ่งเป็นระบบของการร่วมแรงร่วมใจ
เพื่อจะทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จ
ภารดี อนันต์นาวี ได้สรุปความหมายการบริหารของเฮนรี่ ฟาโยล(Hnri
Fayol)ดังนี้ การบริหาร หมายถึง
การมีเป้าหมายในการกำหนดวิธีการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ มีจุดสนใจที่งาน
และประสิทธิภาพของงานที่ปฏิบัติ
ปีเตอร์ ดักเดอร์ กล่าวว่า การบริหารหมายถึง
ศิลปะในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้อื่น
แนวคิดขั้นตอนกระบวนการบริหาร
1.การวางแผน (Planning) 2.การจัดองค์การ(Organizing)
3.การจัดคนเข้าทำงาน(Staffing) 4.การประสานงาน(Coordinating)
5.การควบคุม(Controlling)
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาปฐมวัย
การจัดการศึกษาโดยเฉพาะเด็กวัยแรกเกิดถึง
6ปีต้องมีการสร้างเสริมพัฒนาการทุกด้านตามวัตถุประสงค์ ได้แก่ การพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา
ซิกมันต์
ฟรอยด์(Freud) ได้กล่าวว่า วัยเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์
คือระยะ5ปีแรกของอายุประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้รับในตอนต้นๆจะมีอิทธิพลต่อชีวิต
เฮอร์ลอค(Hurlock)กล่าวว่าวัยเด็กนับว่าเป็นวัยแห่งวิกฤตกาลในการพัฒนาบุคลิกภาพเป็นระยะสร้างพื้นฐานจิตใจวัยผู้ใหญ่
แนวคิดโรงเรียนที่มีประสิทธิผล
ปีเตอร์
มอร์ติมอร์ และคณะ
โดยได้บรรยายถึงคำกำจัดความละองค์ประกอบคุณลักษณะของโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงเรียนสาธิต
-แนวคิดโรงเรียนที่มีประสิทธิผล ของปีเตอร์ มอร์ติมอร์และคณะ
-แนวคิดในการพัฒนาโรงเรียนอัจฉริยะ 9 ประการ ของบราบาร่า
แมค กิวค เคมไมเยอร์และเจรีส
-แนวคิดการบริหารโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยชิคาโก
-แนวคิดการบริหารโรงเรียนสาธิตของวิทยาลัยออเร้นท์โคช์
-แนวคิดการบริหารโรงเรียนสาธิตของวิทยาลัยโคโลราโด สเตท
-แนวคิดการบริหารโรงเรียนประถมวัยโดยนวัตกรรมการศึกษาประถมวัยการสอนแบบโครงการ
The project Approach
-แนวคิดการบริหารโรงเรียนปฐมวัยโดยนวัตกรรมการศึกษาปฐมวัยการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
–แนวคิดการบริหารโรงเรียนปฐมวัยโดยนวัตกรรมการศึกษาวอลดอร์ฟ
สรุป
การบริหารการศึกษาคือการดำเนินการของกลุ่มบุคคลเพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมให้มีความเจริญงอกงามในด้านต่างๆเพื่อให้สมาชิกที่ดีของสังคมหรือกิจกรรมต่างๆที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการเป้าหมายของสังคมที่ตนดำเนินชีวิตอยู่ซึ่งองค์ประกอบกระบวนการบริหารการศึกษามีดังนี้1.)การวางแผน
2.)การจัดองค์การ 3.)การจัดคนเข้าทำงาน
4.)การประสานงาน 5.)การควบคุม
และแนวความคิด
ที่ควรมีโรงเรียนสาธิตสำหรับเป็นที่ฝึกหัดสอนนักเรียนฝึกหัดครูซึ่งเกิดขึ้นมา
300 ปีมาแล้ว ดุ๊ก ออฟ เออเนสต์
แห่งโกรธาได้แสดงความคิดเห็นว่านักเรียนฝึกหัดครูควรได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติการสอนจริงในเรื่องที่ตนจะต้องทำการสอนในภาคหน้าโรงเรียนสาธิตเพื่อจุดมุ่งหมายคือสำหรับเป็นที่ฝึกสอนฝึกงานสังเกตและศึกษาของนิสิตนักศึกษาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยผู้ที่กำลังศึกษาในวิชาการศึกษาสำหรับเป็นที่วิจัยในในเรื่องสำคัญต่างๆของนักศึกษาเช่นวิธีการสอบสอนต่างๆที่การดำเนินงานโรงเรียนที่ถูกต้องเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้
ได้แก่โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 24 แห่ง
กลุ่มตัวอย่าง
สำหรับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
โดยใช้วิธีการเปิดตาราง เครจซีและมอร์แกน ( krejcie and morgan ได้โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เป็นตัวอย่างจำนวน
22 โรงเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการศึกษาวิจียครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือในแต่ละขั้นตอน
รวมทั้งหมด 3 ประเภทคือ
1. แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ( semi-structured interview)
2. แบบสอบถามความคิดเห็น ( opinionnaire )
3. แบบตรวจสอบรายการ ( check list from )
การดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยโดยแบ่งออกเป็น3ขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่1
จัดเตรียมโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนการจัดเตรียมโครงการตามระเบียบวิธีการดำเนินการวิจัยโดยศึกษาเรื่องการบริหารโรงเรียนจากเอกสาร
ตำรา ข้อมูล สถิติ
การวิจัยของบุคคลและหน่วยงานต่างๆรวมถึงวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎ
เพื่อจัดทำโครงการวิจัยโดยขอคำแนะนำความเห็นในการจัดทำโครงร่างการวิจัยจาก
อาจารย์ที่ปรึกษาและนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อเสนอขออนุมัติหัวข้อดุษฎีนิพนธ์
ขั้นตอนที่
2 การดำเนินการวิจัยเป็นขั้นตอนการศึกษาวิเคราะห์กำหนดกรอบแนวคิด
เพื่อสร้างและพัฒนาเครื่องมือนำไปทดลองใช้ปรับปรุงคุณภาพ
และสรุปข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎ
วิเคราะห์หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อมานำเครื่องมือที่สร้างและพัฒนาแล้วไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างและนำข้อมูลที่ได้มาทดสอบความถูกต้องของข้อมูลและแปรผล
การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างรูปแบบและการตรวจสอบความเหมาะสมพร้อมทั้งเสนอรูปแบบซึ่งประกอบด้วย
5 ขั้นตอน ดังแผนภูมิแสดงขั้นตอนการวิจัยดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 3 การรายงานผลการวิจัยเป็นขั้นตอนการจัดทำร่างรายงานผลการวิจัยเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้องปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามที่คณะกรรมการผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์เสนอแนะ
จัดพิมพ์และส่งรายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์ต่อบัณฑิต วิทยาลัยมหาวิทยาลัยศิลปกรเ
พื่อขออนุมัติจบการศึกษา
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ดังนี้
1. การวิเคราะห์สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามในด้านเพศอายุระดับการศึกษาตำแหน่งหน้าที่และประสบการณ์ในการทำงานด้วยคำนวณค่าความถี่ค่าร้อยละโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
2.
การวิเคราะห์ค่าระดับความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า5ระดับโดยใช้ค่าเฉลี่ย
( x ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน( S.D. ) ทั้งนี้ในการวิเคราะห์ถือว่าเป็นค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากการตอบแบบสอบถามของผู้ให้ข้อมูลอยู่ในช่วงพฤติกรรมหรือกิจกรรมใดก็แสดงว่าลักษณะการปฏิบัติที่ตรงตามสภาพที่เป็นจริงแบบนั้นโดยผู้วิจัยได้กำหนดเกณฑ์ในการวิเคราะห์ตามแนวของเบสท์
(Best) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ค่าเฉลี่ย 4.50
- 5.00 หมายถึงพฤติกรรมในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.50
- 4.49 หมายถึงพฤติกรรมในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.50
- 3.49 หมายถึงพฤติกรรมในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50
- 2.49 หมายถึงพฤติกรรมในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00
- 1.49 หมายถึงสมรรถนะในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับน้อยที่สุด
3.
การวิเคราะห์องค์ประกอบหลักโดยการวิเคราะห์แบบองค์ประกอบหลักเชิงสำรวจด้วยวิธีสกัดปัจจัยเพื่อให้ได้ตัวแปรที่สำคัญซึ่งถือเกณฑ์การเลือกตัวแปรที่อยู่ในองค์ประกอบตัวใดตัวหนึ่ง
โดยพิจารณาค่าความแปรปวนของตัวแปรเท่ากับ 1
และถือเอาค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรแต่ละตัวขององค์ประกอบนั้นมีค่าตั้งแต่ 0.5
ขึ้นไปบรรยายด้วยตัวแปลตั้งแต่ 3 ตัวแปรขึ้นไปตามวิธีของไกเซอร์
จากนั้นนำองค์ประกอบที่ค้นพบมาวิเคราะห์สหสัมพันธ์คาโนนิคอล
เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบแล้วนำเสนอร่างรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยมหาวิทยาลัยราชภัฏ
4.
การวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีการพิจารณาโดยวิธีการสัมมนาอ้างอิงผู้ทรงคุณวุฒิโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน
5 คน โดยนำเสนอรูปแบบ บริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิได้พิจารณาประเด็นด้านความถูกต้องความเหมาะสมและความเป็นไปได้และการนำไปใช้ประโยชน์และให้ข้อเสนอแนะ
การวิพากษ์เพื่อปรับปรุงในรูปแบบที่เหมาะสม
สถิติที่ใช้ในการวิจัย
สถิติที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้
1.
การวิเคราะห์เนื้อหา
2.
สถิติพื้นฐานสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย
และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
3.
การวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก โดยการวิเคราะห์แบบองค์ประกอบเชิงสำรวจด้วยวิธีสกัดปัจจัย
4.
การวิเคราะห์สหสัมพันธ์คาโนนิคอล เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ
5.
การประเมินและการตรวจสอบเนื้อหาวิธีการพิจารณาโดยวิธีการสัมมนาอ้างอิงผู้ทรงคุณวุฒิ
สรุปผลการวิจัย
1. องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏประกอบด้วย
9 องค์ประกอบ คือ
1) ด้านการจัดการเรียนรู้และนวัตกรรมทางการศึกษาปฐมวัย
2) ด้านโครงสร้างการบริหารและการบริหารจัดการ
3) ด้านการพัฒนาครูปฐมวัยมืออาชีพ
4) ผู้บริหารมืออาชีพ
5) ด้านการประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน
6) ด้านการเป็นหน่วยร่วมผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
7) ด้านการวิจัยทางการศึกษาปฐมวัย
8) ด้านการบริการวิชาการเพื่อพัฒนาท้องถิ่นและ
9) ด้านการทํานุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทยท้องถิ่น
2.
รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นรูปแบบที่ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ
9
องค์ประกอบที่มีความถูกต้องเหมาะสมเป็นไปได้และสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ซึ่งสอดคล้องกับกรอบแนวคิดทฤษฎีของการวิจัย
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
การบริหารและหลักการบริหารการจัดการมีความสำคัญในการวางระบบการบริหารโรงเรียน
โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นรูปแบบ
และแนวคิดในการบริหารที่จะต้องกระจายอำนาจการบริหารทำให้สถานศึกษามีอำนาจและความรับผิดชอบในการบริหารมีความคล่องตัวและมีอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจ
การสร้างประสิทธิภาพของโรงเรียนควรเน้นการบริหารการจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานอย่างชัดเจน
และเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้
กลุ่มที่ 6
งานวิจัย เรื่อง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
การศึกษาระดับ ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต
(ปริญญาโท)มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
ผู้วิจัย นัยนา เจริญผล
ปีการศึกษา 2552
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 เป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้งภาครัฐ
ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมไปถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ
ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ
ประเด็นที่ 2 ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนและเป็นส่วนเสริมความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกัน
ประเด็นที่ 3 การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพต้องอาศัยการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้รับการสนับสนุนส่งเสริมด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
2. เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น จำแนกตาม ประเภทการจัดการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผน
ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่นให้มีประสิทธิภาพ
2. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม
สนับสนุนปัจจัยในการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ให้สอดคล้องกับปัญหาและเหมาะสมกับสภาพความจำเป็น
3. เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล
การดำเนินการบริหารงาน โดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา
การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี
พ.ศ. 2542
ทั้ง 6 หลัก หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม
หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
ขอบเขตด้านประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 466คน
2. กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่ม ตัวอย่าง
ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 249 คน
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น
/ตัวจัดกระทำ
1. ประเภทการจัดการศึกษา แบ่งเป็น
(1) กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค, อาชีวศึกษา
(2) กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ,สารพัดช่าง, เกษตรและเทคโนโลยี
2. ขนาดของสถานศึกษาจำแนกเป็น 2 ขนาดคือ
(1) ขนาดกลาง
(2) ขนาดใหญ่
ตัวแปรตาม
ได้แก่ ระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น 6 หลัก ได้แก่ หลักนิติธรรม
หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
สมมุติฐานการวิจัย
1. ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถาบันอาชีวศึกษาที่มี
ประเภทการจัดการศึกษาต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล
ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
2. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงาน
ในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกัน
จะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ ในการใช้ทรัพยากร
คน เงิน วัสดุ การจัดการมาดำเนินการในรูปลักษณ์ของกิจกรรมต่างๆ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล
ซึ่งการบริหารในที่นี้หมายถึงการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
2. หลักธรรมาภิบาล หมายถึง การบริหารจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาของประเทศ
โดยมีการเชื่อมโยงองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของสังคม คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน
และภาคประชาชนสังคม ให้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์
ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อย่างสมดุล
ส่งผลให้สังคมดำรงอยู่กันอย่างสันติ
ตลอดจนมีการใช้อำนาจในการพัฒนาประเทศชาติให้เป็นไปอย่างมันคง ยังยืน
และมีเสถียรภาพ
3. การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษา หมายถึง
ระดับการดำเนินการบริหารและการจัดการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
ตามอำนาจหน้าที่เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียน โดยยึดหลักใน 6 หลัก
4. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายถึง
บุคลากรที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น
5. สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น หมายถึง
หน่วยงานทางการศึกษาที่สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
6. ประเภทการจัดการศึกษา หมายถึง การแบ่งสถานศึกษาออกตามประเภทของการจัดการเรียนการสอน
โดยแบ่งเป็น
1. กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค
วิทยาลัยอาชีวศึกษา
2. กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ
วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี
งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
Likert (อ้างถึงใน
สมพิส สวัสดี, 2535) ได้ศึกษาเพื่อหารูปแบบและพฤติกรรมการบริหารที่มีประสิทธิผลไว้ 4
แบบ และแต่ละแบบชี้ให้เห็นพฤติกรรมผู้นำที่ใช้ในการบริหารดังนี้
แบบที่ 1
เป็นการบริหารงานในลักษณะที่ผู้นำไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในตัวผู้ใต้บังคับบัญชาการตัดสินใจและบังคับบัญชา
ขึ้นอยู่กับผู้นำเพียงฝ่ายเดียว
ผู้ใต้บังคับบัญชาจะถูกบังคับให้ปฏิบัติงานโดยไม่มีข้อแม้ไม่ได้ออกความคิดเห็น
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามเป็นไปอย่างห่างเหินผู้ตามมีความรู้สึกกลัวผู้นำ
มีลักษณะเหมือนหนูกลัวแมว
แบบที่ 2 เป็นการบริหารงานในลักษณะที่ผู้นำให้ความเชื่อถือผู้ใต้บังคับบัญชาบ้างเล็กน้อย
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ใต้บังคับบัญชา มีลักษณะเช่นเดียวกับนายกับบ่าว
แต่อำนาจการตัดสินใจหรือการสั่งงานยังอยู่กับผู้นำเพียงคนเดียว
แบบที่ 3 เป็นการบริหารงานในลักษณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
อำนาจ การตัดสินใจบางอย่างอยู่ที่ผู้บริหารระดับกลาง การติดต่อสื่อสารภายในเป็นระบบสองทางความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บริหาร
อยู่ในระดับค่อนข้างดี
แบบที่ 4 เป็นการบริหารงานในลักษณะที่ผู้นำให้ความเชื่อใจ
และให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างแท้จริง การตัดสินใจต่าง ๆ
ขึ้นอยู่กับเหตุผลและข้อเสนอแนะ
ที่ได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตาม
การวางแผนและกำหนดวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานนั้นเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชามี
ส่วนร่วมในการเสนอแนะความคิดเห็นได้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ใต้บังคับบัญชา
เป็นไปด้วยดีมีลักษณะแบบอบอุ่นช่วยกันคิดช่วยกันทำ
จากผลการวิจับ พบว่า
การบริหารโดยแบบที่ 4 ก่อให้เกิดผลในการปฏิบัติงานมากที่สุด และการบริหารงานแบบที่
1 ให้ประสิทธิผลในการปฏิบัติงานน้อยที่สุด
การนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ในการบริหารสถานศึกษา
การบริหารจัดการของสถานศึกษาซึ่งมีหน้าที่ให้บริการการศึกษาแก่ประชาชน
และเป็นสถานศึกษาของรัฐ
จึงต้องนำหลักการว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี
ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ธรรมาภิบาล” มาบูรณาการในการบริหารและจัดการศึกษา
เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานศึกษาในฐานะที่เป็นนิติบุคคล
หลักการดังกล่าวได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส
หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
หลักธรรมาภิบาล
อาจบูรณาการเข้ากับการดำเนินงานด้านต่างๆ ของสถานศึกษา
ซึ่งได้แก่การดำเนินงานด้านวิชาการ งบประมาณ บริหารงานบุคคล และบริหารทั่วไป
และเป้าหมายในการจัดการศึกษา คือทำให้ผู้เรียนเป็นคนดี เก่ง และมีความสุข
วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร
และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นโดยจำแนกดังนี้
ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 48 คน
ครูผู้สอน จำนวน 418 คน
รวม จำนวน 466คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างของผู้บริหารการศึกษาจากจำนวนประชากรเลือกมาทั้งหมด
จำนวน 48 คนและครูผู้สอน ผู้วิจัยได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ประเภทและขนาดของสถานศึกษาเป็นชั้นในการสุ่ม
ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน249 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม
(Questionnaire)
ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
จำนวน1 ชุด แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถาม
เกี่ยวกับสถานภาพ ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ประกอบด้วย
เพศ ตำแหน่งปัจจุบัน วุฒิการศึกษาสูงสุด ประสบการณ์ในการทำงาน
ขนาดของสถานศึกษาที่สังกัด ประเภทของสถานศึกษา
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า(Rating
scale) 5 ระดับ คือ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย
และระดับน้อยที่สุด
ระดับ 5 หมายถึง
ระดับมากที่สุด
ระดับ 4
หมายถึง ระดับมาก
ระดับ 3
หมายถึง ระดับปานกลาง
ระดับ 2
หมายถึง ระดับน้อย
ระดับ 1 หมายถึง
ระดับน้อยที่สุด
การดำเนินการวิจัย
เก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลมีขั้นตอนการดำเนินงานโดย
ขอหนังสืออนุญาตเก็บข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
ถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลขอหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จังหวัดขอนแก่น เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานศึกษาในสังกัด
เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหาร
ครูปฏิบัติการสอนและบุคลากรทางการศึกษาผู้วิจัยส่งแบบสอบถามให้กับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามพร้อมตรวจสอบความถูกต้องจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองจำนวน249ฉบับได้รับคืน249ฉบับคิดเป็นร้อยละ100
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้
ผู้วิจัยได้นำข้อมูลจากแบบสอบถามที่รวบรวมได้นำมาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อหาค่าสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
ดังนี้
1. ข้อมูลจากแบบสอบถามตอนที่ 1 สถานภาพของผู้ตอบ
แบบสอบถามวิเคราะห์ด้วยการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละนำเสนอในตารางประกอบความเรียง
2. ข้อมูลจากแบบสอบถามตอนที่ 2 การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น วิเคราะห์โดยหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.)
3. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาจำแนกตามประเภทของสถานศึกษาวิเคราะห์โดยค่าสถิติ
4. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาจำแนกตามประเภทของสถานศึกษาวิเคราะห์โดยค่าสถิติ
สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้
1. ค่าความถี่ (Frequency)
2. ค่าร้อยละ (Percentaqe)
3. ค่าเฉลี่ย (Mean)
4. ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
2. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานใช้ค่าสถิติที (t–test)ในการทดสอบสมมติฐานทั้งสองข้อ
สรุปผลการวิจัย
ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาล
ในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
ตามประเภทของสถานศึกษาระหว่างกลุ่มวิทยาลัยเทคนิค,อาชีวศึกษากับกลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ,สารพัดช่าง,เกษตรฯ โดยรวม
พบว่า โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05
เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านหลักความคุ้มค่า หลักการมีส่วนร่วม หลักคุณธรรม
มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลักนิติธรรม
หลักความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ ไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิบัติ
ครูแต่ละคนควรมีความจริงใจให้กับเพื่อนร่วมงานควรมีการประสานงานที่ดี
และควรมีขวัญกำลังใจในการทำงาน
ผู้บริหารจึงควรมีการสร้างขวัญกำลังใจให้กับครูผู้สอน เช่น มีการมอบรางวัลสำหรับครูที่ปฏิบัติดีตามหลักคุณธรรม
จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างบุคลากรของโรงเรียน
และมีการออกกฎระเบียบลงโทษครูที่ขาดความรับผิดชอบต่องานและต่อครูด้วยกัน
สำหรับครูผู้สอนก็ควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนและมีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นต่อส่วนรวมบ้างในบางโอกาส
2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาทางเดียวกล่าวคือเป็นงานวิจัยที่ศึกษาเฉพาะผู้
ปฏิบัติงานได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเท่านั้น
ดังนั้นในการวิจัยครั้งต่อไปจึงควรศึกษาถึงความคิดเห็นของผู้ได้รับบริการ
หรือผู้ใช้บริการอื่น ๆ ของโรงเรียนด้วย ซึ่งได้แก่นักเรียน ผู้ปกครองของนักเรียน
สมาคมนักเรียนเก่า หรือชุมชนบริเวณโรงเรียน
เพื่อจะได้นำความคิดเห็นดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกับความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการบริหารงานของโรงเรียนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป
สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
จากผลการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาพบว่า
สถานศึกษาในแต่ละพื้นที่ต้องการผู้บริหารที่มีคุณภาพ
การเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นควรมีหลักในการยึดถือปฏิบัติ ได้แก่ หลักด้านนิติธรรม
ด้านคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ
หลักแห่งความคุ้มค่า ซึ่งคุณธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้บริหาร
วิธีเทคนิคการบริหารวิธีนี้จะช่วยให้การบริหารเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด
องค์กรมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามมาด้วย
เอกสารอ้างอิง /บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2546).
เอกสารเพิ่มเติมประกอบชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง หลักสูตรการบริหารงาน
:
การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรทางการศึกษาเข้าสู่
โครงการใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้า
และพัสดุภัณฑ์
(รสพ.).
เกษม วัฒนชัย. (2546).
ธรรมาภิบาลกับบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน.
กรุงเทพฯ
: พิมพ์ดี.
โกศล ภูงามเงิน. (2542).
การศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับเกณฑ์มาตรฐานผู้บริหารการศึกษาของ ผู้บริหาร
โรงเรียนมัธยมศึกษา
สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
เฉลิมชัย สมท่า. (2547).
การบริหารโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาตาม
ความคิดเห็นของครูปฏิบัติการสอน.
เลย : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลย เขต 1.ชัยอนันต์
สมุทรวานิช.
(2540). จดหมายเปิดผนึกจากที่ประชุม คณาจารย์รัฐศาสตร์. ม.ป.ม. : ม.ป.พ.
เชวงศักดิ์ แสงจันทร์. (2544).
ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับสมรรถภาพที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร
สถานศึกษาที่สอดคล้องกับ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต
สาขาวิชาการบริหาร การศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ดิเรก วรรณเศียร. (2545).
การพัฒนาแบบจำลองแบบสมบูรณ์ในการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
สำหรับสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน.ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต
สาขาการบริหารการศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทิพาวดี เมฆสรรรค์. (กันยายน 2543). ธรรมาภิบาลกับราชการไทย.
วารสารสรรพสาสน์47 (9) :63-70.
นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์. (2527). หลักการบริหารการศึกษา.กรุงเทพฯ
:อนงค์ศิลป์ การพิมพ์
บุญช่วย ศิริเกษ. (2540). พฤติกรรมองค์การ. เลย :
ภาควิชาพื้นฐานการศึกษา คณะครุศาสตร์สถาบัน
ราชภัฎเลย.
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- สามารถนำคำคมของเพื่อนเเต่คนมาใช้ในการชีวิตได้
-สามารถนำวิจัยของเพื่อนมาเป็นตัวอย่างในการทำวิจัยระหว่งฝึกสอนได้
ประเมินตนเอง เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย
ประเมินเพื่อน ตั้งใจเรียน มีการตอบโต้สนทนากับอาจารย์ระหว่างการสอน
ประเมินอาจารย์ อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพเรียบร้อย อาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมในสิ่งที่นักศึกษาได้พรีเช้น ทำให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้น