วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 7
วันพุธ ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

***สอบกลางภาค***

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6
วันพุธ ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ความรู้ที่ได้รับวันนี้
       วันนี้อาจารย์ให้เเต่ละคนนำเสนอชื่อภาษาอังกฤษ ที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้นำในสถานศึกษา ตัวอย่างชื่อของเพื่อน เช่น




บรรยากาศการนำเสนอชื่อ












หลังจากนั้นเพื่อนได้นำเสนอคำคมที่เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษามีดังนี้


 เสนอคำคมโดย นางสาวจีรวรรณ งามขำ

 เสนอคำคมโดย นางสาวมาลินี ทวีพงศ์




เสนอคำคมโดย นางสาวจิรญา พัวโสภิต

        จากนั้นอาจารย์ได้สอนเรื่อง
        โครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย การบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

       การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
7. ความต้องการของชุมชน
       การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย
1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
        1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก


        2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง

        3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่


2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
         (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
          1.รูปแบบในระบบโรงเรียน
          2.รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
          3.รูปแบบตามอัธยาศัย
3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่ คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization”
        หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
1. การบริหารงานวิชาการ เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด
2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ
3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
          - งานธุรการในสถานศึกษา
          - งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
          - งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
          - งานทะเบียนและรายงาน
          - งานรักษาความปลอดภัย
          - งานการเงินและพัสดุ
          - งานพัสดุ
4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย 
        คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง
5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย
           - การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
           - การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์
          การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป
         ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management)
คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด
       หลักการในการบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management)
• หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
• หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
• หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน ( Return Power to People)
• หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
• หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance)      
ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก
(Administrative Control School Council )
บริหารโดยครูเป็นหลัก
(Professional Control Council)
การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท
(Community Control School Council)
ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก
(Professional Community Control School Council)
         สรุปการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน  ( School-Based Management )
       การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบเบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง    
       องค์กรแห่งการเรียนรู้
       ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ (ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge) )
• การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
• รูปแบบของความคิด (Mental Models)
• วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
• การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
• การคิดเชิงระบบ (System Thinking)
         การบริหารแบบมีส่วนร่วม สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ
        ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
• สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
• สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
• ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
• การบริหารแบบมีส่วนร่วม
• ผลงานที่เกิดขึ้น
• สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
        ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
ใช้งบประมาณมาก
ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน


การวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ (SWOT Analysis Workshop) 
SWOT คืออะไร 
       คือการวิเคราะห์สำรวจตรวจสอบสภาพภายในองค์กร และสภาพแวดล้อมภายนอก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวางแผน
S : จุดแข็ง
W : จุดอ่อน
O : โอกาส
T : อุปสรรค
การใช้ SWOT ในการวิเคราะห์
จุดแข็ง : Strengths
ตัวอย่าง
  • งานที่เราถนัด ทำแล้วมีความสุข 
  • งานที่โดดเด่นที่ชุมชนชื่นชอบ 
  • อะไรที่ชุมชนมีความต้องการให้เราทำซ้ำอีก 
  • ทรัพยากร และเครื่องมือที่เรามีความพร้อม 
จุดอ่อนW : Weaknesses
ตัวอย่าง
  • งานที่เราไม่สบายใจที่จะทำ 
  • ความต้องการที่จะรับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน หรือทักษะบางอย่างที่เรายังไม่มั่นใจ 
  • ขาดทรัพยากรในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย 
อุปสรรค : Threats
ตัวอย่าง

  • ใครคือคู่แข่งขันที่ทำได้ดีกว่าเรา 
  • ถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนจะทำให้แผนโครงการเรามีปัญหา 
  • ความขัดข้องที่จะเกิดจากเราเอง 
โอกาส : Opportunities 
ตัวอย่าง

  • โอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ 
  • มีเครื่องมือใหม่ที่ได้รับการสนับสนุน 
  • มีช่องว่างทางการตลาดที่เรามองเห็น 
  • เครือข่ายมีศักยภาพทำให้งานสำเร็จง่ายขึ้น 
จากนั้นอาจารย์ได้มอบหมายงานให้นักศึกษาวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ โดยใช้ swot วิเคราะห์ตนเอง เเละเพื่อน 


การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- ได้รู้จักการวิเคราะห์ SWOT
- สามารถนำชื่อของเพื่อนเเต่คนที่่มีคูณสมบัติของผู้นำมาใช้ในการทำงานในอนาคต
- ได้รูุ้จักโครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยเเต่ที่ว่ามีความเเตกต่างอย่างไร
- นำคำคมของเพื่อนมาเป็้นหลักในการทำงานเเละให้กำลังใจตนเอง
 ประเมินตนเอง เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย
ประเมินเพื่อน ตั้งใจเรียน มีการตอบโต้สนทนากับอาจารย์ระหว่างการสอน
ประเมินอาจารย์ อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพเรียบร้อย อาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมในสิ่งที่นักศึกษาได้พรีเช้น ทำให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้น 

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 5
วันพุธ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

***ไม่ได้เข้าเรียนอาจารย์เลื่อนการเรียนการเรียนมาเป็นเวลา 09.00-11.30 น. 
 เนื่องจากดิฉันติดเรียนเสรี***

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันพุธ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ความรู้ที่ได้รับวันนี้
- อาจารย์ได้มอบหมายงานให้เเต่ละกลุ่ม ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารเเต่ละโรงเรียน
- คำคมที่เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษามีดังนี้


เสนอคำคมโดย น.ส. สุริยาพร กลั่นบิดา


เสนอคำคมโดย น.ส.สุวนันท์ สายสุด

เสนอคำคมโดย น.ส.เรณุกา บุญประเสริฐ
- หลังจากนั้นได้นำเสนองานกลุ่มมีดังนี้


1.โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ประวัติกว่าจะมาเป็น...โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ

          ก่อน พ.ศ. 2482 การอนุบาลศึกษาของไทยยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เพราะมีโรงเรียนเอกชนเพียง 2 แห่ง ที่จัดสอนระดับชั้นอนุบาล คือ โรงเรียนมาแตร์เดอี และ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย แต่ก็ยังไม่ได้สอนเต็มรูปแบบ การจัดการศึกษาระดับอนุบาลของมาดามมอนเตสเซอรี่เน้นเพียงการให้เด็กร้องเพลง เล่น และ แสดงภาพประกอบตัวอักษรเท่านั้น
          เมื่อหม่อมเจ้ารัชฎาภิเษก โสณกุล อธิบดีกรม ศึกษาธิการ ซึ่งเป็นเพียง กรมเดียวของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงธรรมการ) ในขณะนั้นได้เล็ง เห็นว่าการอนุบาลมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ การพัฒนาเด็ก จึงมีนโยบาย ที่จะจัดตั้ง โรงเรียนอนุบาลของรัฐขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2482 กระทรวง ศึกษาธิการได้แต่งตั้งกรรมการ 3 คน เพื่อพิจารณาจัดตั้ง โรงเรียนอนุบาล เต็มรูปแบบขึ้น เรียกว่า "กรรมการจัดโครงการโรงเรียนอนุบาล" 
อ่านต่อที่ http://www.la-orutis.dusit.ac.th/history.php
2.สถานรับเลี้ยงเด็กโรงเรียนเเสนสุข






ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sansook.ac.th/site/

3.Brainschool

มารู้จักกับ Brainschool
           Brainschoolเป็นหลักสูตรพัฒนาทักษะการคิดเชิงเหตุผล (Critical Thinking)และการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) สำหรับเด็กอายุ 1-8ปี
Brainschool เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ มุ่งสร้างความก้าวหน้าทางพัฒนาการเด็กในทุกด้านได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา และสังคมวิทยาศาสตร์
Brainschool สอนผ่านกิจกรรมกว่า2,000กิจกรรมที่ได้รับการวิจัยจากนักวิชาการทางด้านเด็กเล็กกว่า40ท่านทำให้มีความต่อเนื่อง เป็นระบบ และได้ผลจริง
ครูผู้สอนทุกท่านได้รับการฝึกอบรมหลักสูตร Creative Teaching Method จาก Hansol Education ทำให้มีความเข้าใจในบทเรียนและมีจิตวิทยาในการสอนเด็กเป็นอย่างดี
หลักสูุตรของเรา
         Brainschool เป็นหลักสูตรที่พัฒนาโดยบริษัทHansol Education บริษัทด้านการศึกษาอันดับหนึ่งของประเทศเกาหลี โดยดร. ยังจูโอ* ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาของเกาหลี ได้ทำงานร่วมกับทีมวิจัยของ Hansolกว่า40ท่าน เป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ในการพัฒนาหลักสูตร Brainschool ขึ้นมา หลังจากนั้นได้มีการนำหลักสูตรนี้ไปทดลองใช้กับชั้นเรียนตัวอย่างเพื่อทำการปรับปรุงจุดด้อยต่างๆ อีกเป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้ได้หลักสูตรทางการศึกษาที่ดีที่สุด
หลักสูตรของเบรนสคูลใช้หลักการของนักการศึกษาชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียงสองท่านคือ ดร.บลูม(บิดาแห่งความคิดเชิงวิพากษ์)และดร.ทอแรนซ์(บิดาแห่งความคิดสร้างสรรค์) เพื่อให้เด็กๆสามารถใช้สมองทั้งสองข้างอย่างเต็มศักยภาพ
เป้าหมายของการศึกษา

  • เพื่อให้เด็กมีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
  • สนับสนุนให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
  • เพื่อให้เด็กได้เกิดประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
  • เพื่อพัฒนาทักษะการคิดระดับสูงที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้
  • ปลูกฝังลักษณะความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับปัญหาและมีแรงกระตุ้นและความเพียรที่จะแก้ปัญหานั้น
จุดเด่นคือ
• หลักสูตรการเรียนการสอนที่ได้รับการค้นคว้าและวิจัยว่าเหมาะสมกับพัฒนาการทางการคิดของเด็กแต่ละช่วงวัย
• กิจกรรมที่หลากหลายกว่า2,000กิจกรรมที่มีความต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบ
• สื่อการเรียนการสอนของจริงที่เป็นรูปธรรมซึ่งทำให้เด็กในวัยนี้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
• วิธีการสอนที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของเบรนสคูลที่เปิดโอกาสให้เด็กๆได้แสดงศักยภาพทางการคิดอย่างเต็มที่
• ครูผู้สอนที่ผ่านการฝึกอบรมและมีจิตวิทยาในการสอนอย่างแท้จริง
• การแบ่งกลุ่มย่อยตามพัฒนาการของเด็กโดยเด็กในแต่ละกลุ่มจะมีอายุห่างกันไม่เกินหกเดือน
• การเรียนการสอนกลุ่มเล็กกลุ่มละเพียง4-6คนเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปได้อย่างทั่วถึง
• มีการให้ข้อมูลหลังการสอนอย่างเป็นระบบ

อ่านเพิ่มที่http://brainschoolthailand.com/about/
4.สถานรับเลี้ยงเด็ก บ้านคุณปู่ เนอสเซอรี่ 


          ให้บริการเนอสเซอรี่และรับเลี้ยงเด็กแรกเกิด ถึงก่อนวัย
เรียน เราเน้นการให้ความรักความอบอุ่น จากการกอดการสัมผัสกับเด็กซึ่งเด็กเล็กจะสัมผัสได้ถึง ความ
รักอย่างรวดเร็ว บ้านคุณปู่ เนอสเซอรี่ ใช้ระบบการดูแลและพัฒนาเด็กเล็กโดยเน้นการใช้กิจกรรมเสริม
ทักษะในด้านต่างๆโดยเฉพาะกิจกรรมด้านศิลปะที่จะช่วยพัฒนาสมองของเด็ก อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นที่ทันสมัย ปลอดภัยและสามารถพัฒนาทักษะและเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆได้อย่างต่อเนื่องสมวัย
         โดยบ้านคุณปู่เนอสเซอรี่ เน้นเรื่องของการเตรียมความพร้อมของเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่่งเด็กๆแต่ละคนก็จะมีความพร้อม ความถนัด ความสนใจ ความชอบ หรือแม้แต่ความมีสมาธิ ที่จะเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ
ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเรามีหน้าที่ที่จะฝึกฝนเด็กๆให้มีความพร้อมในทุกๆเรื่องก่อนที่เด็กๆจะต้องเข้าไป
ศึกษาในสถานศึกษาในระดับสูงต่อไป
 รูปแบบการเรียนการสอน
           ทั้งนี้เด็กๆจะได้มีส่วนร่วมและสนอความคิดในเรื่องต่างๆและได้ร่วมเสริมสร้างจินตนาการผ่านการทำศิลปะและ สิ่งประดิษฐ์ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการและการต่อยอดทางความคิด ความกล้าแสดงออกเรามีห้องยิมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆเพื่อฝึกพัฒนาการของกล้ามเนื้อ แขน ขา ของเด็กๆ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เด็กๆยังได้ฝึกการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การแบ่งปัน การฝึกให้พี่ที่โตกว่าได้ช่วยเหลือเด็กๆหรือน้องๆที่เด็กหรือเล็กกว่า โดยเด็กๆจะได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและพร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ
อ่านเพิ่มเติมที่http://baankhunpoo.com/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81.html
5.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลเมื่องร้อยเอ็ด





อ่านเพิ่มเติมที่http://www.roietmunicipal.go.th/th/
6.ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดโปรดเกศเชษฐาราม


ประวัติศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดโปรดเกศเชษฐาราม
         ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์วัดโปรดเกศเชษฐาราม ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๓๖ ตามนโยบายของรัฐบาลสมัยนั้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เด็กเล็กที่ยังอายุยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียน ได้เข้ามาใกล้ชิดกับพระศาสนาโดยมีพระและวัดเป็นผู้ดูแลจัดการ เพื่อปลูกฝังคุณธรรมเบื้องต้นให้กับเด็ก และรับเลี้ยงดูเด็กเพื่อให้ผู้ปกครองออกไปปประกอบอาชีพได้อย่างไม่ต้องมีห่วงกับบุตรธิดา เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองได้อีกส่วนหนึ่ง
          ปีที่เปิดเรียน ได้ใช้ศาลาการเปรียญด้านนอกเป็นห้องเรียน มีนักเรียน ๒๕ คน ครู ๒ คน คือ นางอาภา โกวัฒนะชัยและนางคงทรัพย์ ชาวปทุม เป็นผู้ช่วย วัดเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเป็นเงินเดือนครู และจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน เช่นม้านั่ง โต๊ะเรียน เป็นต้น สำหรับอาหารกลางวัน นักเรียนต้องนำมาเอง อาหารนมยังไม่มีให้ เสื้อผ้าได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีศรัทธาและใจบุญ ปีแรกนี้ รัฐบาลไม่ได้ให้ค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
           การเปิดเรียนปีแรก นับว่าขลุกขลักมาก เพราะนอกจากจะเป็นของใหม่แล้ว ยังไม่มีผู้ชำนาญงานคอยให้คำแนะนำ การเรียนการสอนจึงเป็นสถานรับเลี้ยงเด็ก (nursery) การเรียนก็ไม่สม่ำเสมอ เวลาวัดมีงานต้องใช้ศาลา โรงเรียนก็ต้องหยุดเรียน ที่นอนก็ใช้ผ้าปูกับพื้นศาลา


       ปี พ.ศ.๒๕๓๗ โรงเรียนพระปริยัติธรรมสร้างเสร็จ จึงย้ายไปเรียนที่สถานที่ใหม่ เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๗ นักเรียนมีเพิ่มขึ้น เป็น ๔๕ คน มีแนวการเรียนการสอน การดูแลเลี้ยงดูเข้าระบบ “อนุบาล” โดยอาจารย์ทวีรัตน์ ธูปวงศ์ เป็นผู้วางรากฐานให้
         พ.ศ.๒๕๓๘ มูลนิธิพีรยานุเคราะห์ ในอุปถัมภ์พระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดย ดร.อุกฤษ มงคงนาวิน ประธานมูลนิธิ ส่งเจ้าหน้าที่มาประเมินว่า ควรจะรับช่วยเหลืออย่างไร เวลาต่อมา คณะกรรมการมูลนิธิฯ โดย ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน พร้อมคณะกรรมการ ได้เดินทางมามอบสิ่งของเครื่องใช้ เช่นตู้ ชุดนักเรียน ชาย หญิง และเงินช่วยสนับสนุนเงินดือนครู ตามจำนวนที่ศูนย์ฯ ทำรายงานเสนอ พร้อมค่าอาหารกลางวันแก่เด็กจำนวน ๑๓๐ คน
          พ.ศ.๒๕๔๐ เป็นปีที่เศรษฐกิจของประเทศเกิดวิกฤติ การช่วยเหลือจากมูลนิธิฯงดหมดทุกรายการ ศูนย์ฯต้องดำเนินการจัดเก็บค่าบำรุงจากผู้ปกครองปีละ ๓,๐๐๐ บาท (สามพันบาทถ้วน) และสามารถที่จะแบ่งชำระได้เป็นรายเดือนหรือเป็นครั้งคราว รวมแล้วครบจำนวนเท่าที่กำหนด ถือว่าชำระครบแล้ว สำหรับชุดนักเรียนผู้ปกครองต้องซื้อเอง การดำเนินนโยบายขอรับการสนับสนุนจากผู้ปกครอง ทำให้การบริหารจัดการของศูนย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีเงินทุนที่จะจัดการบริหารทั้งด้านการเรียนการสอนและการจัดหาสื่ออุปกรณ์ที่ต้องการใช้ได้สะดวกขึ้น ทำให้ศูนย์สามารถพัฒนาได้ในทุก ๆ ด้าน
ห้องเรียนเพิ่มเป็น ๖ ห้องเรียน ครูเพิ่มขึ้น เป็น ๑๓ คน
           พ.ศ.๒๕๔๖ ศูนย์ถ่ายโอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลทรงคนอง ครั้งแรก อ.บ.ต.ทรงคนองช่วยจ่ายเงินเดือนครูให้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งค่าอาหารค่านม ปี ๒๕๕๐ อ.บ.ต.ทรงคนอง ถ่ายโอนครูไปสังกัดเป็นลูกจ้างของ อ.บ.ต.ทรงคนองทั้งหมด แต่ศูนย์ฯ ก็ยังจ่ายเงินเดือนอีกส่วนหนึ่งแก่ครูจากส่วนที่ขาดจาก อ.บ.ต.ให้
        การทำสัญญาจ้างครั้งแรกมีปัญหา เพราะ อ.บ.ต.ไม่สามารถทำความเข้าใจกับครูในเรื่องสัญญาจ้างได้  
      พ.ศ.๒๕๕๒ ศูนย์ฯ มีนักเรียน ๒๒๙ คน ครู ๑๔ คน
      พ.ศ.๒๕๕๓ ศูนย์ฯ มีนักเรียน ๒๙๔ คน ครู ๑๔ คน
      พ.ศ.๒๕๕๔ ศูนย์ฯ มีนักเรียน ๒๖๕ คน ครู ๑๓ คน
        ศูนย์ฯ ได้ก่อสร้างอาคารขึ้นมาอีก ๑ หลัง รับเลี้ยงเด็กอายุตั้งแต่ ๒ ขวบ ถึง ๒ ขวบ ๑๑ เดือนที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานไม่มีคนเลี้ยงดูบุตรธิดา เป็นการลดภาระการใช้จ่ายของผู้ปกครองที่ต้องจ้างเอกชนเลี้ยงดู และศูนย์ฯ ได้จ้างครูเพิ่มอีก ๒ คน มาดูแลเด็กเล็ก
      พ.ศ.๒๕๕๕ ศูนย์ฯ มีนักเรียน ๓๐๐ คน ครู ๑๖ คน
      พ.ศ.๒๕๕๖ มีนักเรียน ๓๐๑ คน ครู ๑๗ คน
      พ.ศ.๒๕๕๗ มีนักเรียน ๒๙๗ คน ครู ๑๖ คน
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
- ได้รู้จักรูุปเเบบการบริหารสถานศึกษา
- เป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพในอนาคตได้
- นำการสอนเเต่ละสถานศึกษามาปรับให้เหมาะกับการเรียนสอนปัจจุบัน
 ประเมินตนเอง เข้าเรียนตรงเวลา เเต่งกายเรียบร้อย
ประเมินเพื่อน ตั้งใจเรียน มีการตอบโต้สนทนากับอาจารย์ระหว่างการสอน
ประเมินอาจารย์ อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพเรียบร้อย อาจารย์ได้อธิบายเพิ่มเติมในสิ่งที่นักศึกษาได้พรีเช้น ทำให้เข้าใจเนื้อหามากขึ้น